วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561


     โรคกระดูกพรุนกับความพรุนและความเปราะบางของกระดูก

 ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Disease หรือ NCDs) ที่นับว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าโรคร้ายแรงอื่น ๆ เพราะแม้ว่าจะเป็นโรคที่ไม่สามารถมองเห็นหรือไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างชัดเจน ในขณะที่มวลกระดูกกำลังลดลงเรื่อย ๆ จากภาวะกระดูกพรุน แต่เรียกได้ว่าเป็น “ภัยเงียบ” ที่ก่อให้เกิดภาวะที่รุนแรงตามมาจากอาการกระดูกหักได้ เพราะความเปราะบางของกระดูก ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บ ภาวะกระดูกหักซ้ำ (Capture the Fractures) ทุพพลภาพ และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุดโดยปกติแล้ว ตั้งแต่วัยเด็ก กระดูกในร่างกายจะมีการสร้างเซลล์ใหม่และสลายเซลล์กระดูกเก่าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอัตราการสร้างเซลล์กระดูกใหม่จะมีสูงมาก ต่อมาเมื่ออายุ 25-40 ปี อัตราการสร้างกระดูกและสลายกระดูกจะเท่ากันอยู่ในภาวะสมดุล จนกระทั่งเมื่ออายุ 40-50 ปีขึ้นไป อัตราการสลายกระดูกจะเริ่มมากกว่าการสร้างเซลล์กระดูก หมายความว่า มวลกระดูกจะค่อย ๆ ลดจำนวนลง โครงสร้างภายในของกระดูกจะถูกทำลายจนเกิดเป็นรูพรุนลักษณะคล้ายกับฟองน้ำ เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนขึ้น โดยมีสัญญาณที่สามารถสังเกตได้ เช่น อาการปวดตามบริเวณเอว หลัง ข้อมือ หรือรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไป หลังโก่ง ไหล่งุ้ม หรือเตี้ยลง เป็นต้น โดยกระดูกบริเวณที่พบว่ามีโอกาสหักได้บ่อย ได้แก่ กระดูกหลัง กระดูกสะโพก กระดูกข้อมือ อัตราการเกิด

พยาธิสรีรภาพ 
   ภาวะขาดเอสโตรเจนในวัยหมดประจำเดือนจะทำให้เซลล์กระดูกการสร้างและหลั่งไชโตไคน์  ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์ทำลายกระดูก (Osteoclast) ทำให้มีการสลายกระดูกเพิ่มขึ้น จึงเกิดความไม่สมดุลระหว่าง การสร้างกระดูกและการสลายกระดูก มวลกระดูกจึงลดลง นอกจากนี้ผู้สูงอายุบริโภคแคลเซียมน้อยลง และกลไกการสังเคราะห์ วิตามินดีเสื่อม ซึ่งสารนี้สร้างที่ไตและช่วยดูดซึมแคลเซียม เมื่อปริมาณแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ ร่างกายจึงอาศัยแคลเซียมจากกระดูก โดยกระตุ้นให้มีการหลั่งพาราไทรอยด์ฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก ทำให้มีการสลายกระดูกมากขึ้น ในผู้สูงอายุมีแคลชิโตนินลดลง จึงไม่สามารถควบคุมการสลายกระดูกของเซลล์ทำลายกระดูกได้เหมือนเดิม มวลกระดูกจึงลดลงโดยเฉพาะที่บริเวณกระดูกฟองน้ำ กระดูกบาง เล่น กระดูกสันหลัง กระดูกเรเดียส กระดูกต้นขา เป็นต้น กระดูกสันหลังจะมีตัวของกล้ามเนื้อหลังและส่วนสูงลดลงหรือเนื่องจากกระดูกบางลงทำให้ไม่สามารถรับแรงได้ตามปกติ จึงเสี่ยงต่อการหักได้ง่าย ทำให้มีอาการปวดมีการเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ตามปกติ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โรคกระดูกพรุน

ปัจจัยเสี่ยงกับโรคกระดูกพรุน


  1. ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง
  2. หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง
  3. กระดูกหักจากกระดูกบาง
  4. ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย
  5. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ
  6. สูบบุหรี่จัด
  7. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนปริมาณมากๆ เป็นประจำ
  8. ผู้ที่กินยาบางชนิด ซึ่งทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายลดลง เช่น ยารักษาไทรอยด์ ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
  9. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่เกิดจากการทำงานของต่อมไร้ท่อผิดปกติ เช่น โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน
  10. โรคของต่อมหมวกไต หรือการเข้าเฝือกเป็นระยะเวลานาน โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
สิ่งที่จะทำให้ทราบได้ว่ากระดูกมีการเสื่อมสภาพ หรือไม่ ทำได้โดยการปรึกษาแพทย์เพื่อซักประวัติ เอกซเรย์ ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก และหากพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลที่ถูกต้อง



ประโยชน์ของงาดำที่มีต่อโรคกระดูกพรุน

งาดำมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด จนได้ชื่อว่าเป็นอาหารและยาอายุวัฒนะของคนสมัยโบราณ โดยเฉพาะคนจีนที่นิยมใช้งาดำกันอย่างแพร่หลายในอาหารและใช้เป็นยารักษาโรคในทางการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว โดยงาดำมีข้อมูลทางโภชนาการและสารอาหารที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
1. แคลเซียมสูงมาก
งาดำเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงมาก โดยงาดำ 100 กรัม จะมีแคลเซียมอยู่ประมาณ 975 มิลลิกรัมและในหนึ่งวันตามมาตราฐานของ Thai RDI แนะนำให้คนทั่วไปได้รับแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายวันละ 800 มิลลิกรัม นั่นแสดงให้เห็นว่า หากเราบริโภคงาดำเพียงวันละ 100 กรัมหรือขีดเดียว ปริมาณแคลเซียมที่เราได้รับเข้าสู่ร่างกายก็เพียงพอตามมาตราฐานแล้ว

2. โปรตีนสูงคนทั่วไปส่วนมากมักได้รับโปรตีนจากการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ไม่ว่าจะเป็น เนื้อ นมหรือไข่ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับงาดำกับผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์แล้ว ปริมาณโปรตีนที่ได้จากผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์อาจมีโปรตีนอยู่ในระดับที่เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกันกับโปรตีนจากงาดำในน้ำหนักที่เท่ากัน 

3. ไขมันสูง

งาดำหรืองาสีอื่นมีไขมันโดยน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 40% – 50% โดยส่วนประกอบของไขมันที่มีอยู่ในงาดำจะมีทั้งเป็นกรดไขมันจำเป็น (ร่างกายสร้างเองไม่ได้ต้องได้รับจากอาหาร) อันได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโมก้า 6 และกรดไขมันไม่จำเป็น อันได้แก่ โอเมก้า 9 ซึ่งกรดไขมันเหล่าเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเรามาก

4. คาร์โบไฮเดรตชนิดดี

ในงาดำมีคาร์โบไฮเดรตชนิดดีกล่าวคือ เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายค่อยๆย่อยและดูดซึมไปใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะมีส่วนผสมของไฟเบอร์หรือใยอาหารจากธรรมชาติ มีผลทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ในการหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เรียกว่า “อินซูลิน” ทำงานน้อยลง ต่างจากคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี ที่ทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนัก เพราะระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตับอ่อนจึงจำเป็นต้องหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมาเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

5. มีวิตามินหลากหลาย

ในงาดำมีวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด ได้แก่
  • วิตามิน B1
  • วิตามิน B2
  • วิตามิน B3
  • วิตามิน B5                                                                          
  • วิตามิน B6       
  • 6. มีแร่ธาตุจำเป็นที่หลากหลาย
  • คำว่าแร่ธาตุ หมายถึง แร่ธาตุหลักและแร่ธาตุรอง
  • แร่ธาตุหลัก คือ แร่ธาตุที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในปริมาณมากเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและทำงานได้เป็นปกติ ในงาดำจะมีแร่ธาตุหลักดังต่อไปนี้ คือ แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสโพแทสเซียม โซเดียม
    แร่ธาตุรอง คือ แร่ธาตุที่จำเป็นต้องร่างกายเช่นเดียวกันกับแร่ธาตุหลัก แต่ร่างกายต้องการในปริมาณไม่มาก ในงาดำจะมีแร่ธาตุรองดังต่อไปนี้ คือ เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง เซเลเนียม

การบดงาดำแบบโบราณ

ข้อควรระวังในการบริโภคงาดำ

การบริโภคงาดำถือเป็นการบริโภคที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงอะไรสำหรับคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติบางประการของงาดำ บุคคลบางกลุ่มจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานงาดำ หากมีท่านมีปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้

แพ้งา

การแพ้งามีความคล้ายคลึงกับการแพ้ถั่วที่หลายคนเป็นกัน การที่เราจะทราบได้ว่า เราแพ้งาหรือไม่ ? ต้องได้รับการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้จากทางโรงพยาบาล ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีสารก่อภูมิแพ้บางชนิดที่เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ หากท่านเคยแพ้ถั่ว เราแนะนำให้ท่านตรวจหาสารก่อภูมิแพ้

ท้องเสีย

จากงาดำมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ผู้ที่มีอาการท้องเสียอยู่ก่อนแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคงาดำหรือน้ำมันงาดำ จนกว่าอาการท้องเสียจะหายหรือทุเลาก่อน เพราะหากบริโภคงาดำเข้าไปในขณะที่ท้องเสีย อาจทำให้ท้องเสียมากยิ่งขึ้น

ซ้ายมือคืองาดำและขวามือคืองาที่ผ่านการขัดสีจนได้เป็นสีขาวเนียน


นวัตกรรมงาดำกับโรคกระดูกพรุน


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำมันงาดำ



 ถือเป็นข่าวดีสำหรับในวงการแพทย์ของไทย และเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนและข้อเสื่อม เมื่อนักวิจัยจากภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค้นพบวิธีรักษาและยับยั้งโรคกระดูกพรุนและข้อเสื่อม โดยไม่ต้องใช้ยารักษาได้เป็นครั้งแรกของโลกแถมยังมีคุณสมบัติเทียบเท่ายาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศด้วยผลจาการศึกษาเพิ่มเติม ทำให้ค้นพบว่าในระดับที่ลึกลงไปว่า สารเซซามีนสามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้เป็นอย่างดี  และมีการทดลองที่ได้ผลชัดเจนแล้ว การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของโลก เนื่องจากยังไม่มีที่ไหนได้ทดสอบและนำมาพิสูจน์อย่างจริงจังมาก่อน
ในอดีตจะเห็นว่า มีความเชื่ออย่างหนึ่งของคนโบราณ และวิธีการรักษาแบบหมอเมือง ที่นำน้ำมันงา มารักษาหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ จนกระดูกหัก แล้วก็บอกว่าเป็นน้ำมันต่อกระดูก มีการเป่ามนต์คาถา เพื่อรักษา ซึ่งเป็นความเชื่อที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความเชื่อนี้ ทำให้นักวิจัยนำมาทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการนำสารเซซามีนที่คิดค้นได้ จากงาทั้งหมด 3 ชนิด
คืองาดำ งาขาว และงาแดง เพื่อหาคุณสมบัติ กระทั่งพบว่า มีคุณสมบัติไม่แตกต่างกัน และเมื่อทดสอบในห้องปฏิบัติก็ทำให้รู้ว่า น้ำมันงาที่มีความเชื่อกันว่า สามารถรักษาโรคกระดูก หรือต่อกระดูกได้นั้น เป็นเรื่องจริง โดยน้ำมันงาจะซึมผ่านผิวหนังเพื่อเข้าไปช่วยในการฟื้นฟูกระดูกที่เสียหาย แต่ต้องใช้ระยะเวลาเพราะกระบวนการทำงานต้องดูดซึมผ่านรูขุมขน แต้ข้อพิสูจน์นี้ยังไม่มีใครค้นพบ

หลังจากได้ข้อมูลดังกล่าว นักวิจัยและคณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ และนักศึกษาปริญญาเอก ได้นำไปทดสอบด้วยการทำเซลล์สลายกระดูกขึ้นมา จากนั้นก็นำกระดูกวัวที่ไม่เป็นโรคมาทดสอบและนำเซลล์สลายกระดูกที่คิดค้นขึ้นมาใส่ลงไป ก็พบการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยกระดูกวัวที่นำมาทดสอบเกิดเป็นรูพรุน คล้ายกับกระดูกของมนุษย์ที่เมื่ออายุมากขึ้นจะมีเป็นโรคนี้ และผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย ซึ่งหญิงไทยเป็นโรคนี้สูง 70 – 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบในอัตราส่วนประชากร 100 คน จะพบหญิงที่เป็นโรคนี้กว่า 10 คน หรือเกินกว่านั้น ในอายุที่สูงขึ้น

การบริโภคงาดำในรูปน้ำมัน

การบริโภคน้ำมันงาได้รับความนิยมมากในประเทศอินเดีย ทั้งในรูปน้ำมันประกอบอาหาร ยาสมุนไพร และการนวดเพื่อบำบัด
การสกัดงาเพื่อเอาน้ำมันนั้น ในสมัยก่อนจะใช้วิธีการบดงาให้ละเอียดแล้วบีบเอาเฉพาะน้ำมันงาแยกออกมา โดยจะเหลือกากงาที่สามารถนำไปทำแป้งงาได้ ซึ่งการบีบน้ำมันงาในสมัยก่อน ในกระบวนการบดงาจะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งจะไปลดคุณค่าทางอาหารของน้ำมันงาและคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระลงด้วย
การสกัดน้ำมันงาในยุคปัจจุบัน จึงมีการพัฒนาวีธีการที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อรักษาคุณค่าทางอาหารของน้ำมันงาและคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระให้มากที่สุด การสกัดน้ำมันงาจึงใช้วีธีการสมัยใหม่ที่เรียกว่า การบีบเย็น (Cold Press) ซึ่งในกระบวนการบีบจะไม่เกิดความร้อน จึงส่งผลให้ได้น้ำมันงาที่มียังคงคุณค่าทางอาหารสูงและยังคงคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูงด้วย
การเก็บรักษาน้ำมันงาดำสกัดเย็น มีอยู่ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกจะบรรจุอยู่ในภาชนะ เช่น ใส่ขวดหรือโหลที่มีฝาปิดมิดชิดป้องกันอากาศเข้า การเก็บในรูปแบบนี้มักจะนำน้ำมันไปประกอบอาหารหรือไปใช้ในการนวดเพื่อบำบัด
ส่วนการเก็บรักษาน้ำมันงาดำสกัดเย็นในรูปแบบที่สอง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดีทีสุด คือ การเก็บรักษาไว้ในรูปแคปซูลเจล ซึ่งช่วยคงคุณค่าทางอาหารและคุณสมบัติของน้ำมันงาดำสกัดเย็นได้อย่างครบถ้วน เนื่องจากน้ำมันงาดำไม่โดนอากาศและแสงแดดเลย จึงเหมาะสำหรับใช้รับประทานเพื่อดูแลสุขภาพมากที่สุด
การบริโภคน้ำมันงาดำสกัดเย็นชนิดแคปซูล จึงเป็นทางเลือกที่ดี สะดวก ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เพราะนอกจากจะปลอดเชื้อราและไม่ผ่านความร้อนแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหารมากและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอีกด้วย